วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559

อยากทำงานโรงแรม....ไปสมัครงานกัน

          เมื่อตัดสินใจและเลือกที่จะเป็นพนักงานโรงแรม เราจะต้องรู้ว่าเราจะสมัครเป็นพนักงานแผนกอะไร แล้วความสามารถและความถนัดของเราเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่เลือกหรือไม่ แต่หากว่าเราไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน หรือว่าพึ่งจะเรียนจบมา ก็ลองดูในตำแหน่งงานที่คิดว่าเราต้องทำมันได้ เช่น ถ้าเราเก่งภาษา (อันนี้เป็นทุนเลย) ลองเลือกทำงานส่วนหน้าไปเลย มีทั้ง Front Office, F&B ขึ้นอยู่กับว่าเราชอบงานแบบไหน หรือถ้าเป็นคนพูดไม่เก่ง ก็ลองเลือกงานส่วนหลัง แม้ว่าเราจะพึ่งจบมาหรือไม่มีประสบการณ์ แต่จงอย่ากลัวว่าจะสัมภาษณ์ไม่ผ่าน หรือกลัวว่าเค้าจะไม่สนใจ


          เมื่อเลือกตำแหน่งที่จะสมัครได้แล้ว ขั้นต่อไปก็คือการสมัครงาน เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดผมจะแบ่งช่วงเวลาสำคัญแต่ละช่วง และในแต่ละช่วงต้องเตรียมหรือต้องทำอะไรบ้าง
           ช่วงแรก : ตรวจเช็คความพร้อม
           - ความมั่นใจ ข้อนี้สำคัญมากๆ ต้องนำไปด้วย จะเตรียมใส่กระเป๋าหรืออะไรก็แล้วแต่ ห้ามลืม
           - ความพึงพอใจเมื่อแรกพบ จะได้เขียนใบสมัครหรือไม่ก็อยู่ที่ข้อนี้แหละ นั่นคือการแต่งตัว, บุคลิกภาพ, การถ่อมตน อันนี้ต้องบอกเลยว่าสำคัญมากๆ บางครั้งอาจเห็นผู้สมัครถูกเชิญให้กลับตั้งแต่ยังไม่ขอใบสมัครเลยก็มี
           - ตำแหน่งที่จะสมัคร ว่าง/มีสถานะเปิดรับ ในแต่ละวันมีผู้สมัครมากมายที่ไม่ได้รับการสัมภาษณ์ เนื่องจากตำแหน่งงานที่เลือกสมัคร ยังไม่เปิดรับ ดังนั้นจึงได้แต่เขียนใบสมัครทิ้งไว้และตามมาด้วยคำพูดว่า "ทางเราจะติดต่อกลับไปนะคะ" รอไปยาวๆ
           - ปากกา และน้ำยาลบคำผิด สิ่งของพวกนี้สำคัญมากทีเดียว บางครั้งอาจมีการเขียนผิด จะเอาปากกาไประบายมันก็ไม่ใช่ และบางโรงแรมมีให้วาดแผนที่บ้านด้วย!!  
           - เอกสารแนบในการสมัครงาน ถ่ายไปให้พร้อม ไม่ต้องไปยืมเครื่องถ่ายเอกสารโรงแรมนะ แนะนำให้เซนต์กำกับไปเลย
           - รูปถ่าย อันนี้ห้ามลืมเด็ดขาด ในรูปถ่ายจะต้องแต่งกายสุภาพดูเป็นหนุ่มหรือสาวทำงาน ไม่แนะนำรูปถ่ายที่สวมชุดครุย
       
          ช่วงที่สอง : การเขียนใบสมัคร (เวลาบ่งบอกถึงความพร้อมและความเป็นมืออาชีพ)
           - ภาษาที่ใช้เขียนใบสมัคร อันนี้ขอย้ำเลยว่าไม่จำเป็นต้องเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาไทยคงจะดีกว่าถ้าเราเขียนภาษาอังกฤษไม่เก่ง ดีกว่าเขียนผิดๆส่งไป
           - ระบุตำแหน่งงาน อย่าลืมใส่ตำแหน่งงานสำรองที่เราสามารถทำได้ด้วย โดยปกติในใบสมัครงานจะมีให้ใส่ 3 ตำแหน่ง บางครั้งตำแหน่งแรกอาจไม่ผ่าน เจ้าหน้าที่จะได้พิจารณาในตำแหน่งอื่น
           - ระบุเงินเดือน ควรจะรู้ว่าฐานเงินเดือนของตำแหน่งที่จะสมัครว่าอยู่ระหว่างตัวเลขอะไร พนักงานทั่วไปก็ประมาณ 9,000 - 10,000 จะมีอยู่บางแผนกที่จะได้เงินเดือนมากหน่อยก็คือ ฟร้อน, บัญชี, ช่าง, ครัว เพราะงานพวกนี้จะต้องใช้สกิลเฉพาะ
           - การศึกษา สำหรับข้อนี้โดยส่วนตัวจะใส่เฉพาะสถาบันและปีที่จบล่าสุด  ถ้าใส่ไปหมดเลยล่ะ อาจจะดีก็ได้ เผื่อเป็นสถาบันเดียวกันกับเจ้าหน้าที่จะได้มีเรื่องให้คุยกัน
           - ประสบการณ์ ข้อนี้ก็ใส่ไปเท่าที่เรามี สำหรับใครที่ไม่เคยทำงาน ก็ให้เอาประสบการณ์ที่มีในสมัยเรียนนั่นแหละมาใส่ เช่น เคยฝึกงานที่ไหน ปีอะไร เป็นนักเรียนทุนนู้นนี่ ใส่เพื่อให้เครดิตตัวเอง ถ้าไม่มีจริงๆก็ไม่ต้องใส่ครับ
           - ทักษะด้านภาษา อันนี้ไม่ต้องอาย ใส่ตามความจริงไปเลย เหมือนภาษาที่ใช้เขียนนั่นแหละ เพราะสุดท้ายตอนสัมภาษณ์เค้าก็รู้อยู่ดี
           - หัวข้ออื่นๆ ถ้ามีก็ใส่ไปเพราะหัวข้อพวกนี้เป็นตัวที่สื่อถึงอุปนิสัยและความคิดของผู้สมัคร
           - แบบทดสอบ บางโรงแรมจะให้มาพร้อมกับใบสมัครเลย หรือถ้าเป็นโรงแรมในเครือใหญ่ๆ จะต้องทำแบบทดสอบในคอมพิวเตอร์ผ่านระบบออนไลน์ หรือในบางตำแหน่งอาจะไปทดสอบทีเดียวตอนสัมภาษณ์


           ช่วงสุดท้าย : การสัมภาษณ์
           - ความมั่นใจ ข้อนี้ต้องมีตั้งแต่ช่วงแรกจนจบเลย ห้ามทำหล่นหายหรือลืมเด็ดขาด
           - การสร้างสัมพันธภาพที่ดี ด้วยการทักทายและพูดคุยแบบมีขอบเขต
           - ตอบคำถามอย่างฉลาด แม้ในบางหัวข้อหรือบางคำถามเราอาจจะไม่รู้คำตอบ แต่เราควรจะมีทักษะหรือเทคนิคในการตอบคำถาม
           - ถามคำถามเมื่อถูกเปิดให้ถาม ในช่วงสุดท้ายของการสัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จะถามว่า มีคำถามอะไรจะถามหรือไม่


       เป็นยังไงกันบ้าง บอกเลยว่าถ้าอยู่ในสถานการณ์จริงโดยที่ไม่เคยไปสมัครงานที่ไหนมาก่อน รับรองว่าอารมณ์ตอนนั้นจะตื่นเต้นมาก เอาล่ะ มาถึงตรงนี้หากใครที่กำลังจะไปสมัครงาน อย่าลืมเช็คความพร้อมและนำความมั่นในไปด้วย ขอให้ได้ข่าวดีนะครับ ปล.รักงานโรงแรมเหมือนเดิม


เหตุผลที่เลือกทำงานโรงแรม

          เงิน เป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้ผู้คนต้องทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน แต่งานก็มีอยู่หลายประเภท มีมากมายจนบางครั้งถึงกับสับสนว่าจะทำงานอะไรดี เลือกแล้วจะทำมันได้หรือไม่ หรือบางคนก็คิดว่าเรียนจบมาแต่ไม่มีงานที่ตรงกับที่เรียนมา....ทำยังไงดี?
       
          หากคุณเป็นคนที่มีใจรักในการบริการ โรงแรมก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่มีผลตอบแทนที่ดี อีกทั้งยังมีตำแหน่งงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น พนักงานส่วนหน้า, พนักงานห้องอาหาร, พนักงานแม่บ้าน, ช่าง, Office, บัญชี และยังมีอีกหลายตำแหน่งหลายหน้าที่ พวกเค้าจะเรียกตัวเองว่า "พนักงานโรงแรม" เรามาดูกันว่าทำไมถึงต้องเลือกงานโรงแรม โดยจะแบ่งเป็นหัวข้อเพื่อให้เข้าใจง่ายๆดังนี้


   เงินเดือน ปัจจุบันพนักงานโรงแรมส่วนใหญ่จะได้เงินเดือนเท่ากับค่าแรงขั้นต่ำนับตั้งแต่วันที่เริ่มงาน ปัจจุบันอยู่ราวๆ 9,000 บาท (ปี2559) แต่หากย้อนกลับไปในอดีต (ปี2554) พนักงานบริการจะได้เงินเดือนเพียง 6,000 บาท ...... "ไหนบอกว่าเงินดี ได้แค่ 9,000 เอง"

  Service Charge เจ้านี่แหละที่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พนักงานโรงแรมตัดสินใจทำงานโรงแรม เซอร์วิสชาร์จ คือเงินค่าบริการที่คิดเพิ่มจากลูกค้า พอสิ้นเดือนก็จะนำมาเฉลี่ยให้พนักงานทุกคน เซอร์วิสชาร์จเฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 - 15,000 บาท     ขึ้นอยู่กับขนาดและชื่อเสียงของโรงแรม โรงแรมบางแห่งมีการการันตีเซอร์วิสชาร์จ เช่น 9,000 บาท หมายถึงจะได้แน่ๆเดือนล่ะ 9,000 บาท หรือบางเดือนอาจจะได้มากกว่า มีโรงแรมแห่งหนึ่งได้ถึง 40,000 บาท และเดือนอื่นๆก็ไม่เคยต่ำกว่า 18,000 บาท ลองไปสืบหากันดูนะใน Google

          สวัสดิการพนักงานทั่วไป (ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโรงแรม)
          - อาหาร 2-3 มื้อ        
          - ยูนิฟอร์ม
          - หอพักพนักงาน
          - รถรับส่ง
          - ประกันสังคม            
          - ประกันกลุ่ม              
          - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
          - การฝึกอบรม
          - ส่วนลดค่าห้องพัก และค่าอาหารเครื่องดื่ม
          - โบนัสประจำปี
          - มีโอกาสพัฒนาและร่วมงานกับโรงแรมในเครือ (สำหรับโรงแรมที่มีเครือ)

          นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเลือกทำงานโรงแรม ก็เพราะว่ามีสวัสดิการดีๆแบบนี้นั่นเอง และทุกวันนี้โรงแรมแต่ละแห่งก็ได้นำสวัสดิการเหล่านี้มาเป็นจุดสนใจในการดึงดูดพนักงาน




เรามาลองคำนวณเงินที่พนักงานทั่วไปจะได้รับกันดูบ้าง (ตำแหน่งและแผนกมีฐานเงินเดือนไม่เท่ากัน)
พนักงานปฏิบัติงานทั่วไป
- เงินเดือนขั้นต่ำ 9,000 + เซอร์วิสค่าเฉลี่ยต่ำสุด 5,000 = 14,000 บาท 
ถ้าเป็นพนักงานห้องอาหารล่ะ (มีทิปด้วย)
- เงินเดือนขั้นต่ำ 9,000 + เซอร์วิสค่าเฉลี่ยต่ำสุด 5,000 + ทิป 3,000 = 17,000 บาท (บางที่มีค่า incentive ด้วย)
แล้วพนักงานส่วนหน้าล่ะ (โรงแรมบางแห่ง มีค่า incentive ให้พนักงานที่สามารถอัพเกรดห้องให้ลูกค้า)
- เงินเดือนพนักงานส่วนหน้า 12,000 + เซอร์วิสค่าเฉลี่ยต่ำสุด 5,000 + ค่าอัพห้อง 4,000 = 21,000 บาท
          ยังมีโบนัสประจำปีอีกด้วยนะ โบนัสประจำปีขึ้นอยู่กับนโยบายของโรงแรม บางที่ก็ได้เท่ากับหนึ่งเท่าของเงินเดือน หรือได้แค่ครึ่งหนึ่งของเงินเดือน หรืออาจจะไม่ได้เลย  อันนี้จะดีมากสำหรับคนที่มีตำแหน่งและฐานเงินเดือนสูง รวยกันเลยทีเดียว



        อ่านแล้วเหมือนจะดูสวยหรู แต่อย่าลืมว่าไม่มีอะไร Perfect เพราะเงินที่ได้มาก็ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ ยิ่งโรงแรมไหนมีเซอร์วิสมาก นั่นเท่ากับว่าคุณจะต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นจากการบริการลูกค้า และที่สำคัญเมื่อรายได้เพิ่มมากขึ้น รายจ่ายก็จะตามมาติดๆ แต่เอานา....นี่ก็เป็นเหตุผลดีๆที่ทำให้ผู้คนมากมายสนใจที่จะทำงานโรงแรม ใครที่กำลังลังเลหรือกำลังมองหางานดีๆ โรงแรม เป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว


ขอบคุณ Willskills.info/อย่าทำงานเพื่อเงิน-จงทำ สำหรับรูปภาพดีๆ




วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรงแรม (ฉบับเข้าใจง่าย)

          โรงแรมและการท่องเที่ยวถือว่าเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลและเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการแข่งขันในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็น ขนาด, ห้องพัก, การบริการ, การตลาด, กลุ่มลูกค้า และสิ่งหนึ่งที่สำคัญซึ่งจะขาดไม่ได้ก็คือ ตลาดแรงงาน  แน่นอนว่าเมื่อมีการแข่งขันด้านตลาดแรงงาน ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็คือ ผู้สมัครงาน ดังนั้นเราจะมาศึกษาและทำความรู้จักกับโรงแรมในเบื้องต้นแบบรวบรัดและเข้าใจง่าย เพื่อเป็นความรู้และแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจในงานบริการ

Hotel job, Hotel

          โรงแรม คือสถานที่พักผ่อนที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณและได้พัฒนามาจนถึงปัจจุบัน โรงแรมสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท, หลายระดับ แต่จะขอยกตัวอย่างและอธิบายในส่วนที่สำคัญดังนี้ 
          1. แบ่งตามสถานที่ตั้ง 
          - โรงแรมที่ตั้งอยู่ในละแวกธรรมชาติ เช่น ทะเล, ภูเขา หรือน้ำตก เรียกว่า Resort และเนื่องจากอยู่ในเขตธรรมชาติ โรงแรมประเภท Resort จึงมี Design ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ในทุกวันนี้ได้มีการนำ Design ของ City Hotel เข้ามาผสมผสานอันเนื่องมากจาก ที่ตั้ง และเพื่อเพิ่มจำนวนห้อง
          - โรงแรมที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหรือแหล่งชุมชน เรียกว่า City Hotel (ถ้าเป็นเขตชานเมืองเรียกว่า Suburban Hotel แต่ทุกวันนี้จัดว่าเป็น City Hotel แทบจะทั้งหมด) 
          2. แบ่งตามระดับ
          - ระดับที่ว่าก็คือ ดาว นั่นเอง เกณฑ์ในการประเมินดาวก็ขึ้นอยู่กับ ขนาดของโรงแรม, จำนวนห้องพัก, สิ่งอำนวยความสะดวก, ระบบรักษาความปลอดภัย, และหัวข้อที่สำคัญที่สุดคือ การบริการ ดังนั้น ดาวจึงเป็นตัวการันตีและเป็นตัวยืนยันว่าลูกค้าจะได้รับการบริการแบบที่คาดหวัง 



Hotel, Hotel Jobs          จากตัวอย่างข้างต้นเป็นความรู้ในเบื้องต้นสำหรับผู้ที่สนใจงานบริการ อีกทั้งยังเป็นข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจว่าจะเลือกงานรูปแบบไหน เพราะประเภทของโรงแรมสามารถบอกเราได้ในระดับหนึ่งว่ารูปแบบงานเป็นอย่างไร เช่นกัน ระดับของโรงแรมหรือดาวของโรงแรม บ่งบอกถึงความมั่นคง และสวัสดิการของพนักงาน ทุกวันนี้มีโรงแรมในเครือที่มีชื่อเสียง เค้ามองว่าทัศนคติสำคัญเป็นอันดับ1 แม้ว่าเพิ่งจะจบมาไม่เคยมีประสบการณ์โรงแรมมาก่อน สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานโรงแรมได้คือ คุณต้องกล้าและมีทัศนคติที่ดี คุณต้องเปิดใจเพื่อรับสิ่งใหม่ๆ


          ขอบคุณผู้อ่านและผู้ที่รักในงานบริการ ที่เสียสละเวลาเข้ามาอ่านบทความที่ได้เขียนขึ้น รอบหน้าจะมาบอกว่า ทำไมถึงเลือกงานโรงแรม ปล.รักงานบริการมาก